ทริปนี้มีเรื่องน่าตื่นเต้นตั้งแต่วันแรกเลยค่ะ เราถึงลอนดอนที่สนามบิน London Heathrow ตอนเช้า แล้วต้องลากกระเป๋าสัมภาระมากมายของเราไปโรงแรม โดยเรานั่ง tube จากสนามบินไปเลยค่ะ สะดวกมาก ๆ นั่งสาย piccadilly ยาววว ไปลง Leicester Square แล้วต่อสาย Northern อีกสามสถานีไปลง Euston
มันก็ดูเหมือนจะง่ายนะคะ จาก google map ก็บอกว่าตรงที่ต่อรถไฟแทบจะไม่ต้องเดิน คือ 1 นาทีเท่านั้น
แต่มันก็มีเรื่องไม่คาดหมายเกิดขึ้นจนได้จ้าา ตอนถึงสถานีที่ต้องเปลี่ยนสาย ด้วยความที่ของเยอะและเงอะงะ ให้ดูกระเป๋าทั้งหมดของเราค่ะ (ถ่ายรูปนี้วันหลังๆนะคะ วันนั้นล่กมาก รูปไม่ค่อยจะได้ถ่าย ^^) คือสองใบใหญ่นี่ไซส์ใหญ่สุดเลย จัดเต็มค่ะ กลัวใส่ของไม่พอ มาหลวม ๆ ขากลับนี่กระเป๋าแทบจะปริ 😛
เหตุการณ์คือว่า พ่อเอากระเป๋าลงเสดละ กะลังจะหันมายกรถเข็นลูกลง แต่ว่าประตูปิดเร็วมาก ลูก(ในรถเข็น) กะแม่ ลงไม่ทัน ประตูปิดต่อหน้าต่อตา ลูกงง แม่ก็งง พ่อที่อยู่ด้านนอกพยายามเคาะประตูก่อนรถไฟจะออกตัว เผื่อเค้าเห็นจะเปิดให้ ไม่เปิดจ้า รถไฟที่นี่ออกตัวอย่างรวดเร็วด้วย คนบนรถไฟก็ไม่ได้มีใครมีทีท่าตกใจแต่อย่างใด เหมือนเป็นเรื่องปกติ มีคนนึง หน้าตาเป็นมิตร บอกว่า “just get off the next station, cross to the other side and take another train back” คือประมาณว่าก็นั่งไปลงสถานีหน้าแล้วนั่งกลับมาก็ได้ (เทอจาตกใจอารายย เค้าคงคิดในใจ 555) เคค่ะ เป็นมามี๊ต้องมีสติ รอรถไฟจอดสถานีหน้า ซึ่งเร็วมาก มันใกล้กัน หยั่งกะนั่งบีทีเอสจากเอกมัยไปทองหล่อ ^^
นั่งกลับมาที่สถานีเดิม ลงปุ๊บก็เดินกลับมาฝั่งที่เราควรจะลง แต่เอ๊ะ สามีไม่ได้อยู่ตรงนั้น !!! ใจเราก็คิดวุ่นวายว่าไรเนี่ย จะขนกระเป๋าเยอะแยะไปไหนได้ ตั้งสองใบใหญ่ หนึ่งใบเล็ก cabin size นะ เราก็เดินวนอยู่ตรงนั้นด้วยความล่ก โทรศัพท์ก็ไม่มี คือดันหยอดไว้ในเป้ที่สามีสะพายอยู่ (เปนมามี๊ที่มึนอ่ะ) คือถ้ามีโทรศัพท์ สามีก็ยังไม่ได้เปิด roaming เล้ย .. เราเข็นรถเข็นลูกเดินวนไปมาอยู่ตรงชานชาลาอะค่ะ ไม่กล้าขึ้นข้างบน กลัวเค้ากลับมาละหาไม่เจอ โชคดีว่าเข็นๆ อยู่ห้านาที พ่อคุณสามีตัวดีลากกระเป๋ากลับมา
จะโกรธก็โกรธไม่ลง ปล่อยชั้นใจแป้วอยู่ว่าแย่ละ จะหากันเจอมั้ยไรงี้ สรุปพี่เค้าลากกระเป๋า (เอาใบเล็กซ้อนใบใหญ่) ขึ้นลิฟท์ไปดูด้านบน เผื่อว่าจะมีชานชาลาขากลับมาลงข้างบนป่าวไรงี้ พี่ก็คิดมากเนาะ >< ขึ้นไปแล้วไม่มีไรก็ถึงเดินกลับมา
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
- ต้องเตี๊ยมกันให้ดีๆนะคะว่าเกิดเหตุการณ์งี้ใครจะกลับมาหาใคร นี่เราเดาใจกันเอง โชคดีเดาถูก เพราะคิดว่าสามีคงไม่สามารถตามเรามาได้ด้วยความที่กระเป๋าเยอะ ต้องเป็นเรากลับมาหาเอง อีกอย่างนึงที่เตี๊ยมกันไว้เลยคือ ไม่ต้องไปหาที่อื่นให้วุ่นวาย ให้อยู่ตรงนั้นแหละที่เดิมง่ายกว่า เพราะเราจะกลับมาตรงที่เดิมเอง เข้าใจตรงกันน๊ะ ..
- ต้องมีสติมาก ๆ นะคะ เพราะเรามีลูกอยู่กะตัวด้วย เราตกใจต้องไม่ให้เค้ารู้ เดี๋ยวถ้าเค้าเกิดงอแงขึ้นมาจะยิ่งวุ่นยกกำลังสองเนอะ 🙂 โชคดียัยคุณลูกคง sense ได้ว่ามี๊กะลังอยู่ในเหตุการณ์คับขัน ชีเงียบกริบเลยจนเจอพ่อน่ะ ถึงได้กลับมาลัลล้าเหมือนเดิม
- รถไฟเค้าประตูปิดเร็วค่ะ เพราะฉะนั้น เตรียมตัวยืนรอจ่อประตูตอนก่อนรถจอดเลย จะได้รีบลงทันค่ะ เข็ดละ เพราะวันนั้นที่ลงไม่ทันคือเราของเยอะ คนเค้าเลยลงๆกันไปก่อนละ เราเป็นคนท้าย ๆ แล้วเราไม่รู้ว่าสถานีนึงเค้าจะเปิดประตูนานเท่าไหร่ ลืมคิดไปมัวแต่ขนของค่ะ
Baby Emergency Management ตอนอื่น ๆ อ่านได้ที่นี่จ้าา ..
Singapore Trip – Baby Emergency Management #1 เรื่องอึเรื่องใหญ่
Singapore Trip – Baby Emergency Management #2 เหตุเกิดบนเครื่องบิน
เมื่อลูกอ้วกบนรถ และของใข้จำเป็นที่ควรมีบนรถ | baby emergency management – vomit in the carseat