อยากให้ลูกฉลาด อย่าเปรียบเทียบ | tips for mommy & daddy

เจอ article น่าอ่านมาฝากกันค่ะ จากเวบนี้ คลิกตามลิงค์เลยค่ะ

http://www.motherandcare.in.th/livingwell-05/

เชื่อได้ว่า คุณพ่อคุณแม่ยิ่งโดยเฉพาะมีลูกเล็กๆ นั้น มักจะได้ยินคำพูดเช่นว่า“ลูกเธอเดินหรือยัง? ยังเหรอ ลูกเราเดินตั้งแต่ 9 เดือนแล้วนะ” หรือ “ลูกเธอยังใส่ผ้าอ้อมอยู่อีกหรือ? ลูกเราพูดว่า อึอึ๊ ได้ก่อน 2 ขวบอีก”

คุณพ่อคุณแม่นักเปรียบเทียบที่ทำให้ฟังแล้วจิตตกประเภทนี้ ควรเป็นคนกลุ่มแรกๆ ที่คุณพ่อคุณแม่ควรจะหลีกหนีแต่ก็แปลกที่เรามักพบคนเหล่านี้อยู่ทั่วไป เหตุผลที่ให้ หลีกเลี่ยงก็เพราะคนเหล่านี้จะเพาะเมล็ดพันธุ์ความเครียดที่เป็นตัวการทำลายสมอง ของลูกเราไปเรื่อยๆ นั่นเอง

สมองคนเรา พัฒนาในอัตรา ไม่เท่ากัน

โดยหลักการแล้ว สมองของเราจะพัฒนาตามตารางพัฒนาการของแต่ละคน ของใครของมันไม่เท่ากัน นั่นหมายความว่า เด็กทุกคนไม่ได้มีพัฒนาการเท่ากันหรือเหมือนกันเป๊ะ อย่างไรก็ตาม เราจะสังเกตได้ว่าในแต่ละช่วงพัฒนาการนั้น เราทุกคนจะมีช่วงหนึ่งที่ไปพร้อมๆ กันบ้างแต่ไม่ได้เป็นเหมือนกันทั้งหมด เด็กที่สามารถบวกลบคูณหารได้ตั้งแต่ 4 ขวบ ก็ไม่ได้แปลว่าจะต้องเก่งเลขตอนอายุ 9 ขวบ ตัวอย่างเช่น ไอน์สไตน์ อัจฉริยะของโลกก็ไม่ได้พูดเก่งตั้งแต่เด็ก แต่พูดเป็นประโยคได้ตอน 3 ขวบ ครอบครัวของเขาเองยังเรียกเขาว่า เด็กงุ่มง่ามเสียด้วยซ้ำ ซึ่งถ้าเขาเจอกับคุณพ่อคุณแม่นักเปรียบเทียบ เขาอาจจะไม่ได้มาเป็นอัจฉริยะของโลกก็ได้

ความเป็นปัจเจกนี้ ส่วนหนึ่งมาจากพันธุกรรมและอีกส่วนหนึ่งมาจากกลไกของเซลล์ประสาทของสมองที่ตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมภายนอก ทำให้เซลล์สมองเปลี่ยนรูปแบบในการเชื่อมโยงกันไปมา หรือที่เรียกกันว่า neuroplasticity นั่นเอง

คุณพ่อคุณแม่บางคนคิดว่า พัฒนาการทางสมองของเด็กนั้นก็เหมือนกับการแข่งโอลิมปิค คืออยากจะให้ลูกตัวเองชนะในทุกๆ ขั้นของพัฒนาการ เราจะเห็นคุณพ่อคุณแม่ที่คิดแบบนี้แสดงออกมากตอนที่เด็กจะเข้ามหาวิทยาลัย คุณพ่อคุณแม่นักเปรียบเทียบมักจะคาดหวังให้ลูกตัวเองเรียนคณะดังๆ โดยที่ไม่ได้สังเกตถึงความสนใจหรือความต้องการของลูกตนเองเลยแม้แต่น้อย

Prof. David Elkind แห่ง Tufts University จำแนกประเภทของคุณพ่อคุณแม่นักเปรียบเทียบเหล่านี้เป็น 4 ประเภท

1.แบบสำเร็จรูป : คุณพ่อคุณแม่เหล่านี้มักเป็นพวกที่ประสบความสำเร็จอยู่แล้ว และมักอยากให้ลูกประสบความสำเร็จดังตัวเอง จึงเปรียบเทียบลูกตนเองกับลูกคนที่อยู่ในระดับเดียวกัน

Untitled-3

2.แบบนักผจญภัย : คุณพ่อคุณแม่เหล่านี้มักจะมีประโยคเด็ดคือ ‘โลกนี้ช่างโหดร้าย’ ​ดังนั้น จึงมักจะเลี้ยงลูกให้ต้องต่อสู้หรือให้ขวนขวายหาโอกาสในชีวิตด้วยตนเอง เพื่อที่จะนำไปเปรียบเทียบกับลูกของคนอื่นที่อาจไม่ได้มีประสบการณ์ชีวิตมากมายอะไรนัก

Untitled-4

3. แบบดีกรีเด่น : คุณพ่อคุณแม่เหล่านี้จะมีลักษณะคล้ายๆ กับกลุ่มแรก เพียงแต่กลุ่มนี้จะมีความคิดที่ว่า ยิ่งเรียนเร็วเท่าไหร่ก็จะยิ่งดีเท่านั้น คุณพ่อคุณแม่จึงมักจะเน้นให้ลูกไปเรียนหรือเน้นด้านวิชาการมากกว่าให้ทำกิจกรรมอื่นๆ และมักจะยกตนข่มลูกคนอื่นที่ไม่ได้เริ่มอ่าน เริ่มเขียนเร็วเท่าลูกตัวเอง

Untitled-2

4. แบบนักวางแผน : คุณพ่อคุณแม่กลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นพวกคนมีฐานะที่เสาะแสวงหาข้อมูลในเรื่องต่างๆ จากแหล่งภายนอก มักจะพบคุณพ่อคุณแม่กลุ่มนี้ตามโรงเรียนพิเศษหรือกิจกรรมพิเศษอื่นๆ ที่คิดว่าสามารถเพิ่มศักยภาพของลูกตนเองได้มากขึ้น

ไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อคุณแม่นักเปรียบเทียบประเภทไหนก็ตาม การเปรียบเทียบมักมาพร้อมกับความคาดหวังเสมอ ที่สำคัญคือ เมื่อไหร่ก็ตามที่เกิดการเปรียบเทียบคุณพ่อคุณแม่กำลังขัดขวางพัฒนาการทางสมองของลูกน้อย ในหลายประเด็นนั่นก็คือ

ยิ่งคาดหวังกับลูกเยอะเท่าไหร่ ก็ยิ่งเท่ากับขัดขวางกระบวนการคิดของลูกมากขึ้นเท่านั้น

เมื่อพูดถึงเรื่องของความคาดหวังแล้ว เด็กๆ มักจะมีวิธีการรับมือกับเรื่องนี้โดยที่จะพยายามเติมเต็มความคาดหวังของคุณพ่อคุณแม่เมื่อตอนยังเล็ก แต่มักจะต่อต้านและไม่ทำตามเมื่อโตขึ้น เมื่อไหร่ก็ตามที่เด็กเล็กๆ รู้สึกได้ว่าคุณพ่อคุณแม่ของตนกำลังคาดหวังอะไรบางอย่าง สมองจะสร้างกลไกบีบตัวเองให้คิดถึงวิธีการอะไรก็ได้เพื่อให้เป็นไปตามสิ่งที่ถูกคาดหวังนั้น เช่น คุณพ่อที่มีลูกอายุ 2 ขวบ อาจจะบอกเพื่อนว่าลูกของเขาสามารถคูณเลขได้ สิ่งที่เด็กแสดงออกจะไม่ใช่เรื่องของความเข้าใจว่าการคูณมีหลักการว่าอย่างไร แต่เป็นการท่องจำที่จำได้ว่า ตัวเลขอะไรคูณกับอะไรแล้วได้อะไรเท่านั้น ในท้ายที่สุด สิ่งที่เด็กคิดได้จริงๆ จะลดน้อยลง แต่กลับมีสิ่งที่ถูกป้อนข้อมูลเยอะมากขึ้น

ความเครียดและความกดดันทำให้ไม่อยากตั้งคำถาม

เด็กเกิดมาพร้อมกับความสนใจใคร่รู้ แต่ถ้าคุณพ่อคุณแม่คอยแต่ยัดเยียดเรื่องต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องการเรียนให้แล้วนั้น ความสนใจที่จะหาข้อมูลในเรื่องต่างๆ จะค่อยๆ ลดลง แทนที่เด็กจะถามตัวเองว่า “ฉันอยากรู้เรื่องนี้จริงหรือเปล่า?” กลับเปลี่ยนเป็นคำถามที่ว่า “ทำอย่างไรถึงจะได้เกรดดี ทำให้แม่ภูมิใจ ทำให้แม่สบายใจ” อย่าลืมว่าแท้จริงแล้วสมองมีหน้าที่หลักคือ การเอาตัวรอด ในกรณีนี้การเอาตัวรอดคือ การทำให้คุณพ่อคุณแม่สบายใจมากกว่าที่จะเป็นความสนใจของตัวเอง เมื่อถูกกดดันจนทำให้ไม่อยากตั้งคำถามแล้ว ความสนใจใคร่รู้ก็จะค่อยๆ ลดลงตามไปด้วย

ความผิดหวังสะสมทำให้เกิดความเครียด

ต้องยอมรับว่า คุณพ่อคุณแม่ช่างเปรียบเทียบนั้นคงไม่ได้สมหวังในสิ่งที่คาดหวังในตัวลูก 100% ตลอดเวลา ย่อมมีเวลาที่ลูกทำให้ผิดหวัง ซึ่งจะว่าไปการที่ลูกไม่สามารถทำตามที่คุณพ่อคุณแม่คาดหวังนั้นก่อให้เกิดสถานะที่เรียกว่า learned helplessness ซึ่งทำร้ายสมองโดยตรง ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า เด็กไม่สามารถควบคุมตัวกระตุ้นในแง่ลบ หรือก็คือความผิดหวังหรือความโกรธของพ่อแม่ได้ และจะเก็บสะสมความผิดหวังนั้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งวันหนึ่งเด็กจะไม่เหลือความพยายามที่จะทำตามที่คุณพ่อคุณแม่คาดหวังอีก จะให้เปรียบเทียบก็เหมือนเด็กชั้นป.3 ที่ต้องกลับบ้านมาเจอพ่อขี้เมาทำร้ายร่างกายทุกวัน จะไม่กลับบ้านก็ไม่ได้ แต่การกลับบ้านกลายเป็นสิ่งที่เขาไม่อยากทำ เมื่อเป็นอย่างนี้ ใจหนึ่งเด็กก็อยากจะหนีออกจากบ้าน แต่เมื่อเขาถูกทำร้ายมากๆ เข้าสมองจะเริ่มส่งสัญญาณว่า ไม่มีทางเลือก นอกจากจะกลับบ้านไปแล้วโดนทำร้าย และท้ายที่สุดเด็กคนนี้ก็จะเลิกที่จะหนีถึงแม้จะมีทางหนีก็ตาม

ดังนั้นสิ่งที่สำคัญมากที่สุดก็คือ การที่คุณพ่อคุณแม่ตั้งปณิธานไว้ในใจว่า การเป็นพ่อแม่ไม่ใช่การแข่งขัน เด็กไม่ใช่ตัววัดความสำเร็จของผู้ใหญ่ การแข่งขันอาจมีบ้างที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับพ่อแม่ที่จะเลี้ยงหรือสอนให้ลูกเป็นไปทิศทางที่ตนเองคิดว่าดี แต่ในท้ายที่สุดคุณพ่อคุณแม่ที่ชอบเปรียบเทียบลูกตนเองกับลูกบ้านอื่นก็คือ การเพิ่มยาพิษลงไปในความคิดของลูกแล้วยังทำให้สมองทำงานได้แย่ลง ซึ่งไม่ได้ช่วยให้ลูกหรือแม้แต่คุณพ่อคุณแม่ประสบความสำเร็จตามฝั่งฝัน

http://www.motherandcare.in.th/livingwell-05/


Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Twitter picture

You are commenting using your Twitter account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s

%d bloggers like this: